หมอก คือ หยดน้ำเล็กๆหรือเกล็ดน้ำแข็ง แขวนลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับเคลื่อนที่กดต่ำ จนมองไม่เห็นพื้น เป็นสภาพอากาศอันตรายอย่างยิ่งชนิดหนึ่งและมีอยู่ตลอดไปที่นักบินทหารบกจะ ต้องเผชิญ
หมอก หมายถึง เมฆที่ปกคลุมผู้ตรวจอากาศตั้งแต่ผิวพื้น มีทัศนวิสัยน้อยกว่า 1,000 เมตร มีฐานต่ำกว่า 50 ฟุต แต่ถ้ามีฐานฐานตั้งแต่ 50 ฟุตเหนือพื้นดิน เรียกว่า เมฆ เป็นเมฆชนิดเมฆแผ่นหรือ stratus clouds หมอกอาจแบ่งออกจากหมอกแดด (Haze) โดยความชื้นและสี คือหมอกจะมีความชื้นมากและหนาแน่นทำให้หมอกมีสีเทา หมอกเป็นสภาพอากาศอันตรายมาก โดยเฉพาะการวิ่งขึ้นและการร่อนลงของอากาศยาน เนื่องจากหมอกจำกัดการมองเห็นพื้นนั่นเอง ตลอดจนสามารถปิดบังสิ่งกีดขวางได้เป็นอย่างดี หมอกอาจจะไม่เหมือนสภาพอากาศอันตรายอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามหมอกอาจเป็นสิ่งสำคัญเพียงบางส่วนระหว่างทำการบินในเส้นทาง บินเท่านั้น ความรู้เกี่ยวกับหมอก เช่นชนิดชองหมอก การก่อตัว และการสลายคัว จะสามารถทำให้นักบินวางแผนการบินได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
การก่อตัวของหมอก (Fog Formation)
ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้หมอกก่อตัวคือ
1. High relative humidity อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ความชื้นสัมพัทธ์นี้เป็นหลักสำคัญสิ่งแรกในการก่อตัวของหมอก ดังนั้นการกลั่นการเปลี่ยนแปลงสถานะอื่น จะไม่เกิดขึ้นนอกเสียจากจะมีความชื้นสัมพัทธ์เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยสภาพธรรมชาติเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความชื้นสูงหรือการอิ่มตัว(Saturation) อยู่แล้ว ซึ่งเป็นกระบวนการนำไปสู่การเกิดหมอกด้วย ตัวอย่างเช่น การกลายเป็นไอทำให้เกิดการวมตัวกันของความชื้นในอากาศ หรือการเย็นตัวลงของอากาศจนถึงอุณหภูมิจุดน้ำค้าง เหล่านี้เป็นนกระบวนการทำให้เกิดหมอก ค่าความชื้นสัมพัทธ์สามารถหาได้จากการ รายงานข่าวสภาพอากาศประจำชั่วโมง การพยากรณ์การเกิดหมอก โดยการกำหนดความแตกต่างของอุณหภูมิอากาศกับอุณหภูมิจุดน้ำค้าง หมอกมักไม่ค่อยเกิดเมื่ออุณหภูมิอากาศกับอุณหภูมิจุดน้ำค้างต่างกันมากกว่า 2.2 องศาเซลเซียส แต่หมอกจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิอากาศกับอุณหภูมิจุดน้ำค้างต่างกันน้อยกว่า 1.1 องศาเซลเซียส
2. Light wind ลมอ่อนคือน้อยกว่า 7 นอต โดยทั่วไปกระแสลมพัดเบาๆจะช่วยเอื้ออำนวยให้หมอกก่อตัวได้เป็นอย่างดี
3. Condensation Nuclei หมายถึงแกนกลั่น เช่น Smoke และ Salt particles ที่ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อมีความชื้นเข้าไปเกาะรอบๆสิ่งเหล่านี้ จะทำให้ความชื้นเกิดการกลั่นตัวเป็นละอองไอน้ำเล็กๆขึ้น ในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหมอกเกิดได้ทั้งๆที่อุณหภูมิอากาศโดยเฉลี่ย สูงกว่าอุณหภูมิจุดน้ำค้าง
การสลายตัวของหมอก (Fog Dissipation)
หมอกมักสลายตัวเมื่อ ความชื้นสัมพัทธ์ลดลงระหว่างที่ความชื้นลดลงนี้หยดน้ำเล็กๆหรือเกล็ดน้ำแข็ง จะกลายเป็นไอและในเวลาต่อมา ก็จะมองไม่เห็นความชื้นเหล่านี้อีก นอกจากนั้น กระแสลมแรงและความร้อนยังเป็นสาเหตุทำให้ความชื้นลดลงด้วย
กระแสลมแรงเป็นสาเหตุทำให้เกิดอากาศไหลเวียนที่ระยะสูงในชั้นที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นตามระยะสูง ( Invertion layer) ทำให้ความชื้นที่มีอยู่เข้าไปผสมกับอากาศอุ่นแต่เป็นอากาศแห้ง การผสมกันนี้แผ่กระจายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างอากาศกับอุณหภูมิจุดน้ำค้างมีมากขึ้น ในที่สุดหมอกก็สลายไป แต่ Stratus clouds อาจยังคงมีอยู่เหนือกระแสอากาศที่ยกตัวขึ้นไปได้
ความร้อนที่เกิดจากการแผ่รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศร้อนขึ้น หมอกจึงสลายตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น
การแบ่งชนิดของหมอก หมอกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1. หมอกที่เกิดจากการแผ่รังสีความร้อน (Radiation Fog)
2. หมอกที่เกิดจากอากาศไหลทับพื้นผิวที่เย็นกว่า (Advection Fog)
3. หมอกที่เกิดจากอากาศไหลขึ้นไปตามลาดเขา (Up slops Fog)
4. หมอกในแนวปะทะ (Frontal Fog)
1. Radiation Fog หมอกที่เกิดจากการแผ่รังสีความร้อน(F ig15-1)หมอกชนิดนี้ก่อ ตัวขึ้นหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า พื้นดินจะคายความร้อนออกเป็นลักษณะการแผ่รังสีความร้อนกลับสู่บรรยากาศ ความร้อนจึงถูกสะสมไว้ในตอนกลางวัน ในเวลาเช้าตรู่อุณหภูมิพื้นดินลดลงมากกว่า 11องศา เซลเซียส ดังนั้นในเวลากลางคืนอุณหภูมิจุดน้ำค้างจะเปลี่ยนแปลงเพียง 2-3 องศาเซลเซียสเท่านั้น ความแตกต่างของอุณหภูมิจุดน้ำค้างกับอุณหภูมิอากาศลดลง ขณะเดียวกันอุณหภูมิอากาศลดลงด้วย โดยการสัมผัสกับพื้นดินที่เย็น ถ้าการแผ่รังสีความร้อนทำให้อากาศเย็นตัวลงได้เพียงพอและมีสภาพเงื่อนไข อื่นๆช่วยเอื้ออำนวยให้เกิด หมอกที่เกิดจากการแผ่รังสีความร้อนนี้ก็จะก่อตัวขึ้นทันทีเมื่อ
1. ท้องฟ้าแจ่มใส
2. อากาศมีความชื้นสูง
3. ลมอ่อน คือน้อยกว่า 7 นอต
สภาพเหล่านี้เป็นสภาพปกติเหนือพื้นดินบริเวณความกดอากาศสูง ผลก็คือ หมอกมักจะเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ
2. Advection Fog
2.1 สาเหตุของการเกิดหมอกชนิดนี้เกิดจากการเคลื่อนตัวของอากาศอุ่นความชื้น สูง(Warm moist air) ไปบนพื้นที่ผิวที่เย็นกว่าปกติ มักจะเกิดตามแนวชายฝั่งที่มีอุณหภูมิพื้นดินและพื้นน้ำมีความแตกต่างกัน อย่างมาก ถ้าอุณหภูมิอากาศต่ำกว่าอุณหภูมิจุดน้ำค้าง หมอกจะก่อตัวขึ้น Advection Fog ก่อตัวขึ้นภายใต้สภาพเหล่านี้ อาจจะปกคลุมเป็นบริเวณกว้างและอาจเกิดได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะถูกแทน ที่ด้วยมวลอากาศแห้ง หมอกชนิดนี้จึงสลายไป
2.2 ถ้า Advection Fog ก่อตัวเหนือผิวน้ำ จะถูกเรียกชื่อว่า Sea Fog อากาศที่มาจากพื้นที่ที่อุ่นกว่าจากทะเล เมื่อเย็นตัวลงและอิ่มตัวหมอก จะก่อตัวขึ้นตามชายทะเลและบนฝั่งทะเล
2.3 ขณะที่ Advection Fog เคลื่อนตัวสู่พื้นดินระหว่างฤดูหนาว ซึ่งพื้นดินเย็นกว่า เมื่ออากาศสัมผัสพื้นดินที่เย็น จะทำให้อากาศเกิดการอิ่มตัวนำไปสู่การเกิดหมอกปกคลุมตลอดทั้งวันได้หรือมี ความเร็วลม 10-15 นอต
Upslope Fog
หมอก ชนิดนี้จะก่อตัวขึ้นเมื่อ moist stable air พัดขึ้นไปตามพื้นลาดของภูมิประเทศ เมื่ออากาศยกตัวขึ้นแล้วเย็นตัวลงโดยการขยายตัวขณะเดียวกันความกดบรรยากาศลด เมื่อการขยายตัวแผ่ออกไปก็จะเกิดการเย็นตัวลงถึงอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิจุด น้ำค้าง Upslope Fog จะก่อตัวขึ้น ความเร็วต้องมีกำลังมากพอที่จะทำให้หมอกชนิดนี้ก่อตัวขึ้นตามลาดของ ภูมิประเทศได้อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าความเร็วลมมีกำลังแรงมากๆ หมอกอาจจะถูกยกตัวขึ้นจากพื้น กลายเป็นเมฆ Stratus ระดับต่ำ ปกคลุมเต็มท้องฟ้า
Valley Fog
หมอก ชนิดนี้จะเกิดในช่วง เวลาเย็นๆ โดยอากาศเย็นที่อยู่บริเวณพื้นที่ที่ระดับสูงกว่า เคลื่อนตัวกดต่ำลงมายัง พื้นที่ที่ต่ำกว่า หรือบริเวณหุบเขา ขณะเดียวกันอากาศบริเวณหุบเขา จะค่อยๆเย็นลงเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงอุณหภูมิจุดน้ำค้าง หมอกจะก่อตัวขึ้นในบริเวณหุบเขา ขณะที่ระดับสูงขึ้นไปอากาศแจ่มใส เพดานหมอกและทัศนวิสัยถูกจำกัดแต่เฉพาะบริเวณหุบเขาเท่านั้น
Ice Fog
เมื่ออากาศใกล้ผิวพื้นอิ่มตัว ในบริเวณที่มีอากาศเย็นจัดหมอกจะก่อตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง มากกว่าที่จะเป็นหยดน้ำที่อุณหภูมิประมาณ -25 องศาเซลเซียสและอุณหภูมิต่ำกว่าไอน้ำที่ระเหยขึ้นไปจะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ทันที โดยไม่ผ่านกระบวนการกลายเป็นของเหลว ( Water vapor sublimates into ice crystals without passing through a liquid stable) อากาศที่อยู่ภูมิภาคเย็นจัดปราศจาก Impurities แกนกลั่นที่จะให้ไอน้ำไปเกาะก็จะมีไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดหมอกขึ้น ได้ ดังนั้นอากาศจะเย็นลงและอิ่มตัวอย่างรวดเร็ว (Supersaturated) โดยไม่มีหมอกก่อตัวขึ้น
Evaporation Fog
หมอกชนิดนี้เกิดขึ้นโดยการเพิ่มความชื้นเข้าไปในอากาศ แบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆคือ
1.Frontal Fog ปกติจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เป็นระบบของแนวปะทะ Frontal Fog จะก่อตัวขึ้นเมื่อ Precipitation ที่เป็นของเหลว เป็นอากาศบริเวณมหาสมุทรเขตร้อน ตกลงไปเหนือด้านหน้าแนวปะทะ ฝนที่ตกลงไปนี้จะระเหยเป็นไอ รวมกับอากาศจากขั้วโลกซึ่งเป็นอากาศเย็นที่อยู่ด้านล่างข้างหน้าแนวปะทะ การระเหยเป็นไอของฝนที่ตกลงไปนี้เป็นการเพิ่มไอน้ำให้กับอากาศเย็นจากแถบ ขั้วโลกที่เคลื่อนตัวลงมายังเขตร้อน ทำให้อากาศเย็นมีอุณหภูมิจุดน้ำค้างเพิ่มสูงขึ้นไปเท่ากับอุณหภูมิอากาศ (ปกติอุณหภูมิอากาศจะลดต่ำลงไปหาอุณหภูมิจุดน้ำค้าง) จากนั้นอากาศเย็นจะเกิดการอิ่มตัวและเกิดหมอกในแนวปะทะก่อตัวขึ้น หมอกชนิดนี้ปกติจะเกิดขึ้นกับแนวปะทะอากาศอุ่นตลอดฤดู ซึ่งจะเกิดตั้งแต่หน้าแนวปะทะไกลออกไปถึงประมาณ 100 ไมล์ ข้างหน้าแนวปะทะมีบ่อยครั้งที่เกิดฝนและฝนละอองรวมอยู่ด้วย เมื่อมีหมอกก่อตัวขึ้นด้านหน้าแนวปะทะอากาศอุ่นจะเรียกว่า Prefrontal Fog แต่ถ้าเกิดด้านหลังแนวปะทะก็จะเรียกว่า Postfrontal Fog
2. Steam Fog หมอกชนิดนี้จะก่อตัวขึ้นเมื่ออากาศเย็นที่ทรงตัวดี เคลื่อนตัวไปบนพื้นผิวน้ำที่ไม่เป็นน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิอุ่นกว่าอากาศหลายๆ องศา ทำให้ความชื้นระเหยเข้าไปในอากาศเย็นมีเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งอากาศเย็นเกิดการอิ่มตัวและนำไปสู่การก่อตัวของหมอกเกิดขึ้น สภาพที่เอื้ออำนวยให้เกิดหมอกชนิดนี้ ปกติจะเกิดเหนือทะเลทราบ แม่น้ำ และมหาสมุทร ในฤดูหนาวขณะเกิดลมบก
การวางแผนการบิน (Flight Planning)
นักบินควรจะพิจารณาถึงความน่าจะเกิดหมอกขึ้นที่สนามบินปลายทางและสนามบินสำรอง โดยเฉพาะเมื่อสนามบินนั้นใกล้ชายทะเล หรือใกล้กับแหล่งน้ำ ขนาดใหญ่ ๆ ถ้าสนามบินปลายทางอยู่บนฝั่งทะเลควรจะเลือกสนามบินสำรองอยู่หลังเนินเขา หรือร่องเขาซึ่งแนวสันเขาจะป้องกันหมอกไม่ให้พัดมายังพื้นดิน แต่วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขอคำแนะนำจากสถานีตรวจอากาศ ที่จะช่วยนักบินคาดคะเนพื้นที่และเวลาที่จะเกิดหมอก โดยดูจากอุณหภูมิอากาศกับอุณหภูมิจุดน้ำค้าง ว่ามีความแตกต่างกันเท่าใด ซึ่งโดยปกติแล้วหมอกจะเกิดเมื่อ อุณหภูมิอากาศกับอุณหภูมิจุดน้ำค้าง ห่างกันหรือแตกต่างกันไม่เกิน 4o ฟาเรนไฮ หรือ 2.2oC
สภาพอื่น ๆ ที่ทำให้ทัศนะวิสัยถูกจำกัด คือ
1. หมอกแดด (Haze) หมอกแดดคือ ผงฝุ่นและอนุภาคเล็ก ๆ ของเกลือที่แขวนตัวอยู่ในบรรยากาศ อันเป็นผลทำให้ทัศนะวิสัยถูกจำกัดไป
2. ควัน (Smoke) คือผลอันเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของสิ่งต่าง ๆบนพื้นโลก
|